เขียนโดย Administrator
|
วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 03:16 น. |
จิต เวลามันจะคิด ปล่อยให้มันคิดไป จะไปไหนช่างมัน เราเอาสติตามรู้ๆๆๆ ไปอย่างเดียว หลักธรรมชาติของมันว่า จิต ถ้ามี สิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก เขาจะเพิ่มพลังงานมากขึ้นทุกที เพราะฉะนั้น ในเมื่อจิตว่าง ว่าง มันก็มีพลังอยู่ทางหนึ่ง เรียกว่า พลังฌาน แต่ถ้าจิตมีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก มันจะมีพลังทางสติ
พลังฌาน มันไม่เป็นไปเพื่อให้หมดกิเลส แต่พลังสติมันทำให้ คนเราหมดกิเลส เราคิดๆๆๆ จิตที่มันคิดขึ้นมานั่นแหละ จิตที่คิดเอง มันเป็นฉายาแห่งจิตใต้สำนึก ในเมื่อเรามีสติกำหนดรู้ๆๆๆ เมื่อสติมีพลังเข้มแข็งขึ้น จิตใต้สำนึกมันก็ตื่นขึ้นมาทีละน้อยๆๆ เราสามารถที่จะนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ได้ สมาธิในฌานสมาบัติ มีแต่สงบนิ่งๆๆๆ ไปจนกระทั่งร่างกายตัวตนไม่มี เรียกว่าสมาธิในฌานสมาบัติ ความคิดความรู้อะไรต่างๆ มันไม่เกิด แต่มันมีแต่ตัวรู้ละเอียดไปเฉยๆ จุดสุดท้ายของมันก็คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปฌาน ตั้งแต่ฌานที่ ๑ ถึงฌานที่ ๔ อรูปฌาน ตั้งแต่อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ อันนี้เป็น อรูปฌาน
ผู้สำเร็จฌาน ๑ ถึงฌาน ๔ ตายแล้วไปเกิดเป็นพรหมมีรูป ผู้ที่สำเร็จฌาน ๕ คือ อากาสานัญจายตนะ ไปถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นพรหมไม่มีรูป เขาเรียกว่า พรหมลูกฟัก ไปนิ่งอยู่ในฌานเฉยๆ พระพรหมที่เป็นรูปพรหมยังมีโอกาสไปฟังเทศน์ พระพุทธเจ้าได้ หรือบางทีอาจแสดงปาฏิหาริย์ไปช่วยเพื่อนฝูงที่บำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าได้ แต่สมาธิที่เป็นฌานในอริยมรรค-อริยผล ทีแรกเราอาศัย บริกรรมภาวนา พอบริกรรมภาวนา จิตหยุดบริกรรมภาวนา จิตไป นิ่งว่างอยู่เฉยๆ พอนิ่งว่างสักพักหนึ่ง มันก็มีความรู้ผุดขึ้นๆๆๆ อย่างกับน้ำพุ อันนี้เรียกว่า สมาธิมีวิตก วิจาร แล้วก็มีปีติ มีสุข พอ เกิดปีติ เกิดสุข ความคิดยิ่งผุดขึ้นมา เร็วขึ้นๆๆ แล้วมันจะไปถึงจุดๆ หนึ่ง จิตหยุดกึกลงไป นิ่ง สว่าง สภาวะทั้งหลายมันจะปรากฏ การเกิด-ดับๆๆ ให้จิตรู้ตลอดเวลา ซึ่งหลวงปู่มั่นท่านว่า ฐีติภูตัง
|