A Free Template from Joomlashack

A Free Template from Joomlashack

แบบสำรวจ

ท่านกำลังใช้ระบบปฏิบัติการ (OS) อะไรอยู่ ?
 

Search

ผู้เข้าเว็บขณะนี้

เรามี 75 บุคคลทั่วไป ออนไลน์

JComments Latest

  • https://nullkong.com/
  • https://moslabor.ru
  • https://toolbarqueries.google.sc/url?q=https://kup...
  • круиз из сочи в турцию цена
  • canadian pharmacy viagra without a prescription
ความรู้นอกตำรา PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย Administrator   
วันพุธที่ 09 มกราคม 2013 เวลา 08:13 น.

 

หลวงพ่อพุธ  ฐานิโย

 


          ใครไปกล่าวว่าสมาธิขั้นสมถะไม่เกิดภูมิความรู้  ความรู้ของจิตที่อยู่ในสมถะ ในวิปัสสนา มันต่างกัน

         ในสมถะ มันสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น    สมมติว่าจิตของพระองค์ใดองค์หนึ่งมาลอยอยู่เหนือตัวเรานี่มามองเห็นเรานั่งอยู่อย่างนี้  จิตดวงนี้มองเห็นหมด  แต่มันไม่บอกว่า  นี่หลวงตาพุธนะ   นี่ยายแดงนะ อันนั้นยายนั่น นี้ตานี่ มันไม่ว่า  แต่มันรู้อยู่ว่าใครเป็นใคร


         แล้วทำไมมันจึงไม่มีความคิด จึงไม่มีสมมติบัญญัติ  มันรู้ได้  แต่มันคิดไม่เป็น  ทำไมมันจึงคิดไม่เป็น เพราะมันไม่มีเครื่องมือ  จิตที่ไม่มีร่างกายตัวตน มันรู้เห็นได้ แต่สักแต่ว่ารู้  สักแต่ว่าเห็น แล้วความคิดว่าอะไรเป็นอะไรมันไม่รู้    มันไม่มีประสาทมันสมอง


         ทีนี้ พอมันย้อนกลับมา มาสู่สภาวะที่มีร่างกายตัวตน มันอาศัยประสาททางสมอง มันจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าอะไรเป็นอะไร


          นี่ ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนี้  ไปค้นดูเถิด ตำราในพระไตรปิฎก พระสูตร พระปรมัตถ์ พระวินัย พระอภิธรรม   ไม่มีที่ไหนเขียนไว้อย่างนี้

          แล้วทำไมหลวงพ่อจึงพูดได้    พูดได้ในสมัยเมื่อหลวงพ่ออายุพรรษาได้ ๒-๓ พรรษา ป่วยเป็นวัณโรคอยู่ที่วัดบูรพาฯ


          วันหนึ่งมันเกิดหงุดหงิดขึ้นมาว่าไหนๆ เราจะตายแล้ว ดูซิว่าความตายมันคืออะไร    ก่อนจะตายจริงนี่   ควรจะรู้ก่อนว่าความตายมันคืออะไร


           นั่งสมาธิอยู่ตั้งแต่ ๓ ทุ่ม ไปจนกระทั่งถึงตี ๓  มันไม่เกิดความรู้ความเห็นอะไรขึ้นมา เพราะความอยากรู้อยากเห็น  ก็ต้องอดทน  จนเมื่อยทนไม่ไหว  ก็นอนพักก่อนดีกว่า  พอคิดว่าจะนอนเท่านั้นแหละ หัวใจมันดิ้นดุ๊กดิ๊กขึ้นมา  มีอย่างที่ไหน  เขานอนตายกันทั้งโลก  มันจะมานั่งตาย  มันจะตายได้ยังไงวะ   มันพูดขึ้นมาอย่างนี้  อ้าว ถ้างั้นนอนตาย    ก็นอนแผ่สองสลึงลงไป


          พอนอนปั๊บ จิตมันวิ่งหาลมหายใจ มันจับลมหายใจไม่ปล่อยวาง มันก็วิ่งออกวิ่งเข้า  ทีแรกมันออกจากจมูก  ออกมาข้างนอก  แล้วมันก็เข้าไป เข้า-ออกๆ อยู่อย่างนี้  ภายหลังมามันเปลี่ยนทาง   มันวิ่งจากจมูกลงมาสะดือ ขึ้น-ลงๆ อยู่ตรงนี้ เสร็จแล้วมันรวมจุดเข้าเป็นจุดกลมๆ   แล้วก็สว่างไสวพุ่งออกไปนอกกาย     มันมองเห็นอวัยวะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อเอ็น กระดูก ทั่วหมดในขณะจิตเดียว


         เสร็จแล้วจิตสงบละเอียดๆๆๆ ลงไปจนกระทั่งร่างกายหายไป   รู้สึกว่าจิตลอยเด่นสว่างไสว แล้วมันก็มองลงมาเห็นร่างกายนอนเหยียดยาวลงไป นอนอยู่ท่าที่เรานอนอยู่นี่แหละ  ตอนแรกก็มีสบงจีวรห่มอยู่อย่างดี   พอต่อไปสบงจีวรหายหมด แล้วมันก็ขึ้นอืด น้ำเหลืองไหล เน่าเปื่อยผุพัง เนื้อหนังพังไป เหลือแต่โครงกระดูก    โครงกระดูกก็แหลกละเอียด หายจมไปในผืนแผ่นดิน    เสร็จแล้วมันก็เป็นย้อนกลับไป-กลับมาๆ


           พอครั้งสุดท้าย กระดูกที่มันหายไปในแผ่นดินมันโผล่ขึ้นมา มันก็รู้สึกยุบยิบๆๆ เหมือนหนอนบ่อน แล้วก็โผล่ขึ้นมา เป็นชิ้นกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อกันเป็นกระดูกสมบูรณ์ แล้วก็ประสานกันเป็นโครงกระดูก ทีนี้เนื้อมันก็งอกระหว่างกระดูกต่อกัน   ออกลามไปจนกระทั่งเต็ม   พอเต็มแล้วก็มองดูแดงเหมือนกับเราลอกหนังหมู   มันค่อยแห้งกร้านเข้าไปๆ   เปลี่ยนจากแดงเป็นสีเหลือง   จากเหลืองก็เป็นสีขาว  แล้วก็เป็นผิวอย่างธรรมดาผม ขน เล็บ มันก็บังเกิดขึ้นสมบูรณ์แบบแล้วมันก็ย้อนกลับไปกลับมาอย่างนั้น  จำได้ว่ามันเป็นอยู่ถึง ๓ ครั้ง


          บางครั้งก็มองเห็นเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ปรากฏขึ้น  แต่จิตก็ได้แต่มองดูอยู่เฉยๆ  คล้ายๆ กับว่ามันไม่ร้อนใจอะไร มันเฉยๆ อยู่   สักแต่ว่ารู้อยู่ เห็นอยู่ มีอยู่ เป็นอยู่

          แต่วาระสุดท้ายเมื่อมันจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา หลังจากที่มันมาประสานกันเป็นรูปร่างสมบูรณ์แล้ว   เจ้าตัวจิตวิญญาณที่ลอยอยู่นั่น   มันไหวตัวนิดหนึ่ง   แล้วก็ทรุดฮวบลงมาปะทะกับหน้าอกแผ่วๆ เหมือนอะไรมาสัมผัสแผ่วๆ  แล้วหลังจากนั้นความรู้สึกในทางกายนี่มันซู่ซ่า  วิ่งไปตามเส้นสาย เหมือนๆ กับฉีดแคลเซียมเข้าเส้น


         ทีนี้จิตมันก็กำหนดรู้ของมันเองโดยธรรมชาติความตั้งใจอะไรต่างๆ ในขณะนั้นมันไม่มี แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเองหมด    พอมันหยุดซู่ซ่าแล้วจิตมันก็มีคำถามขึ้นมาว่า   นี่หรือคือการตายคำตอบก็ผุดขึ้นมารับว่า ใช่แล้วหลังจากนั้นมันก็มาอธิบายฉอดๆๆๆ


          ตายแล้วมันก็ขึ้นอืด น้ำเหลืองไหล เนื้อหนังพังไปเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก ยังเหลือแต่โครงกระดูก  โครงกระดูกก็ทรุดลงไป แหลกละเอียดหายจมไปในผืนแผ่นดิน เพราะว่าร่างกายนี้มันก็คือธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ  เมื่อมันยังมีชีวิตอยู่   มันก็เป็นรูปเป็นร่างเดินเหินไปมาได้  ทำอะไรได้  เมื่อมันตายไปแล้วมันก็กลับไปสู่ที่เก่าของมัน คือ ดิน น้ำ ลม        ไฟ  ไหนเล่าสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มีที่ไหน



 
 

Joomla 1.5 Templates by Joomlashack