คดีโลก-คดีธรรม ไปด้วยกันได้ |
|
|
|
เขียนโดย Administrator
|
วันพุธที่ 09 มกราคม 2013 เวลา 06:53 น. |
เมื่อก่อนพระสงฆ์เราเทศน์นี่ เราชอบใช้คำว่า "คดีโลก คดีธรรม" ทำให้ชาวพุทธทั้งหลายเข้าใจว่าโลกกับธรรมนี่เข้ากันไม่ได้ ต้องหันหลังให้กัน นี่ เข้าใจกันไปอย่างนี้ คำว่า "คดีโลก" และ "คดีธรรม" หมายเฉพาะเพียงแค่การดำรงชีวิตเท่านั้น
ชาวบ้านดำรงชีวิตอยู่ด้วยการทำงานเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม
พระ ดำรงชีพอยู่ด้วยการบิณฑบาตจากศรัทธาของชาวบ้าน
ทีนี้ โยมทั้งหลายนึกสนุกจะถือบาตรไปเที่ยวบิณฑบาตอย่างพระ มันก็ผิดคติ ผิดทางดำเนิน
พระทั้งหลาย จะไปทำมาค้าขายอย่างคฤหัสถ์ มันก็ผิดทางดำเนินชีวิตของพระ
มันอยู่กันเพียงแค่นี้เท่านั้น
แต่ความจริงมันน่าจะจำแนกธรรมะออกเป็น ๒ ประเภท ประเภทหนึ่ง ธรรมะที่เป็นสิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติ มันกำหนดหมายตั้งแต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในจักรวาลนี้ ตั้งแต่ อณู ปรมาณู จนกระทั่งมวลสารที่เกาะกลุ่มกันเป็นก้อนใหญ่โต กาย-ใจมนุษย์ สถานการณ์และสิ่งแวดล้อม วิชาความรู้ที่เรียนมาในศาสตร์นั้นๆ ทั้งทางชาวบ้านและทางศาสนา มันเป็นสภาว-ธรรม มันเป็นอารมณ์สิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติ
ถ้าจะรวมลงในหลักธรรมะก็คือ สังขาร ๒ - อุปาทินนกสังขารได้แก่สังขารที่มีใจครองได้แก่ คน สัตว์ เป็นต้น - อนุปาทินนกสังขารได้แก่สิ่งที่ไม่มีใจครอง ได้แก่ ดินฟ้าอากาศ ต้นไม้ ภูเขา รถ เรือน เป็นต้น
สิ่งที่เราเรียกว่าสังขารนั้นแหละ คือ สภาวธรรม เป็นอารมณ์สิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติ
ธรรมะอีกประเภทหนึ่ง คือ ธรรมะอันเป็นคำสอน ธรรมะอันเป็นคำสอนที่เป็นพุทธบัญญัติจริงๆ หมายถึง ศีล สมาธิ และปัญญา อันเป็นอุบายวิธีที่อบรมจิตให้เกิดมีพลังงาน
ธรรมะที่ชื่อว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น บางอย่างอาจมีมาก่อนพระพุทธเจ้าเกิดก็ได้ ธรรมะก่อนพระพุทธเจ้าเกิด นั้นหมายถึงสภาวธรรม กฎธรรมชาติของสภาวธรรมที่จะพึงเป็นไปตามกฎแห่งความเป็นจริง เราเรียกว่า กฎพระไตรลักษณ์ หมายถึง
อนิจจตา - ความไม่เที่ยง ทุกขตา - ความเป็นทุกข์ อนัตตตา - ความไม่เป็นตัวของตัว หรือไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน
ตามที่ภาษาวิทยาศาสตร์ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ ย่อมมีปรากฏขึ้นในเบื้องต้น ทรงตัวอยู่ขณะหนึ่ง ในที่สุดย่อมสลายตัว
เพราะฉะนั้น ในเมื่อเราทำความเข้าใจในกฎของธรรมชาติ ในกฎของสภาวธรรม เราจะได้ความว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ที่เรายอมรับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เพราะเหตุว่า พระพุทธเจ้าทรงรู้กฎแห่งความจริงอันนี้ แล้วนำมาตีแผ่ให้ชาวโลกได้รู้ นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าในฝ่ายสภาวธรรม ซึ่งเป็นไปตามกฎธรรมชาติ สภาวธรรมอันนี้ พระพุทธเจ้าจะเกิดก็ตาม ไม่เกิดก็ตาม จะมีก็ตาม ไม่มีก็ตาม เขาก็ย่อมมีอยู่โดยธรรมชาติแล้วแต่ไหนแต่ไรมา
ศาสนาพุทธเป็นปรัชญาชั้นสูง พระพุทธเจ้าสอนให้เราเรียนรู้ธรรมชาติและกฎของธรรมชาติ* ธรรมชาติ หมายถึง สภาวธรรม กฎของธรรมชาติที่ตายตัวก็คือ ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งนั้นๆ คือ กฎพระไตรลักษณ์นั่นเอง
*ธรรมชาติ คือ โลกกฎของธรรมชาติ (เช่น กฎไตรลักษณ์) คือ ธรรม (ผู้เรียบเรียง)
|
แก้ไขล่าสุด ( วันพุธที่ 09 มกราคม 2013 เวลา 08:03 น. )
|